เมื่ออายุเพิ่มขึ้น หลายคนเริ่มสังเกตว่าใบหน้าของตนเองดูเหนื่อยล้า หย่อนคล้อย หรือดูมีอายุเกินจริง แม้จะใช้สกินแคร์หรือเข้าคอร์สดูแลผิวมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถฟื้นฟูความกระชับแบบในวัย 20-30 ได้อย่างแท้จริง หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมมากในกลุ่มวัย 35-55 ปีขึ้นไป คือ การศัลยกรรมดึงหน้า (Facelift) หรือ ผ่าตัดดึงหน้า ซึ่งเป็นเทคนิคการยกกระชับผิวและกล้ามเนื้อใบหน้าอย่างถาวร เพื่อช่วยคืนความอ่อนเยาว์อย่างเห็นได้ชัด ในบทความนี้ DCH Hospital เราจะพาคุณไปรู้จักกับข้อดีของการดึงหน้า เทคนิคที่ใช้ในปัจจุบัน และข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ เพื่อให้คุณสามารถวางแผนความสวยได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยนั่นเอง
ดึงหน้า (Facelift) คืออะไร?
ศัลยกรรมดึงหน้า หรือที่เรียกว่า Facelift / Rhytidectomy คือการผ่าตัดเพื่อยกกระชับใบหน้า โดยแพทย์จะทำการแยกชั้นผิวหนัง กล้ามเนื้อ และไขมันบางส่วน แล้วจัดเรียงใหม่ให้ตึงขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยจากวัยและแรงโน้มถ่วง เช่น ร่องแก้มลึก แก้มตก คางหย่อน และเหนียงใต้คาง
ทำไมหลายคนเลือกดึงหน้าแทนวิธีอื่น?
แม้ว่าปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีไม่ผ่าตัดอย่าง HIFU, Ulthera หรือการฉีดฟิลเลอร์/โบท็อกซ์ แต่การ ผ่าตัดดึงหน้า ยังคงเป็น “ทางเลือกถาวร” ที่ให้ผลชัดเจนและอยู่ได้นานหลายปี จึงเหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก หรือเคยทำหัตถการมาหลายครั้งแต่ยังไม่เห็นผลเท่าที่ต้องการ
เทคนิคการดึงหน้าที่แพทย์นิยม
1. ดึงหน้าแบบเต็ม (Full Facelift)
เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยทั่วทั้งใบหน้า ตั้งแต่หน้าผาก แก้ม กราม ไปจนถึงลำคอ วิธีนี้จะช่วยปรับรูปหน้าให้ดูยกกระชับอย่างเห็นได้ชัด
2. ดึงหน้าเฉพาะจุด (Mini Facelift / Mid-Face Lift / Lower Facelift)
เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเพียงบางส่วน เช่น ร่องแก้มลึกหรือผิวหย่อนบริเวณล่างของใบหน้า การผ่าตัดใช้เวลาน้อยกว่าและฟื้นตัวเร็วกว่าแบบเต็ม
3. ดึงหน้าร่วมกับการส่องกล้อง
เช่นเทคนิคของ DCH Face Young ที่ใช้เทคโนโลยีส่องกล้องช่วยผ่าตัด เพื่อให้ผลลัพธ์แม่นยำ ลดการบอบช้ำ และฟื้นตัวได้ไวขึ้น
ข้อดีของการศัลยกรรมดึงหน้า
1. คืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้าอย่างเห็นผล
ผลลัพธ์ของการดึงหน้าเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน ใบหน้าจะดูสดใสขึ้น เส้นริ้วรอยต่าง ๆ ลดลง ผิวแน่นกระชับ และดูอ่อนกว่าวัยหลายปี
2. อยู่ได้นาน 7-10 ปี หรือมากกว่านั้น
หากดูแลตัวเองดี ผลลัพธ์จากการดึงหน้าสามารถอยู่ได้นานกว่า 10 ปี ซึ่งถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว และไม่ต้องกลับมาทำบ่อย ๆ
3. ปรับรูปหน้าให้ชัดขึ้น
การดึงหน้าช่วยยกกระชับกรอบหน้าและคาง ลดเหนียงและความหย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น มีมิติมากขึ้น และดูเป็นธรรมชาติ
4. ยกระดับความมั่นใจ
เมื่อใบหน้าดูเด็กและสดใสขึ้น ผู้รับการผ่าตัดมักมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ทั้งในการทำงาน การเข้าสังคม และชีวิตประจำวัน
5. สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้
ศัลยกรรมดึงหน้าสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ เช่น การเติมไขมัน, การยกคิ้ว, ดึงหน้าผาก หรือการปรับรูปตา เพื่อผลลัพธ์ที่ดูสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจผ่าตัดดึงหน้า
1. ต้องวางแผนกับแพทย์เฉพาะทาง
การผ่าตัดดึงหน้าควรทำโดยศัลยแพทย์ตกแต่งหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่มีประสบการณ์และเข้าใจโครงสร้างใบหน้าอย่างละเอียด
2. มีระยะเวลาพักฟื้น
หลังผ่าตัดดึงหน้า ผู้ป่วยจะมีอาการบวม ช้ำ และตึงบริเวณที่ดึงประมาณ 1-2 สัปดาห์ และควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมหนักประมาณ 3-4 สัปดาห์
3. ผลลัพธ์แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับโครงสร้างใบหน้า ผิวหนัง อายุ และการดูแลตัวเองของแต่ละคน ไม่ควรคาดหวังว่าใบหน้าจะกลับไปเหมือนตอนอายุ 20 ปี
4. แผลเป็นซ่อนอยู่แนวไรผม/หลังหู
แม้จะมีแผลเป็นเล็ก ๆ จากการผ่าตัด แต่แพทย์จะซ่อนแนวแผลไว้ในจุดที่มองเห็นได้ยาก เช่น ข้างใบหูหรือแนวไรผม ทำให้มองแทบไม่เห็นหลังแผลหายดี
5. ต้องดูแลสุขภาพก่อนผ่าตัด
การดึงหน้าเป็นการผ่าตัดใหญ่ จึงควรงดสูบบุหรี่ งดแอลกอฮอล์ และหยุดยา/อาหารเสริมบางชนิดก่อนผ่าตัด เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงแทรกซ้อน
ดึงหน้าย้อนวัยได้จริง ถ้าทำอย่างเข้าใจและปลอดภัย
ศัลยกรรมดึงหน้า ไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการเสริมสร้างความมั่นใจและคุณภาพชีวิตให้กับผู้ที่รู้สึกว่า “ใบหน้าดูแก่กว่าที่รู้สึก” การเลือกทำ Facelift กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น
ไม่ว่าคุณจะอายุ 35 หรือ 55 ปี
การ “ย้อนวัย” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป หากคุณเลือกวิธีและสถานที่อย่างถูกต้อง

Author: Marketing Dr.Chen
