การมีดวงตาสวย คมชัด และชั้นตาที่ชัดเจน ช่วยเสริมบุคลิกและเพิ่มความมั่นใจได้อย่างมาก จึงไม่แปลกที่ การทำตา 2 ชั้น จะกลายเป็นศัลยกรรมยอดฮิตที่หลายคนให้ความสนใจ แต่เทคนิคการทำตาไม่ได้มีแค่แบบเดียว บางคนอาจเหมาะกับการกรีด บางคนอาจแค่เย็บ 3 จุดก็เพียงพอ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแบบไหนเหมาะกับตัวเอง?
บทความนี้จะพาไปสำรวจเทคนิค ศัลยกรรมตา ที่ได้รับความนิยม เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย พร้อมแนวทางการเลือกวิธีทำตาให้ตอบโจทย์ที่สุดสำหรับคุณ
ศัลยกรรมตา 2 ชั้น คืออะไร?
ศัลยกรรมตา 2 ชั้น หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “การทำตา 2 ชั้น” คือหัตถการทางศัลยกรรมที่ช่วยสร้างหรือปรับชั้นตาบนให้ดูชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยการออกแบบรอยพับบนเปลือกตาตามโครงสร้างตาและรูปหน้าเดิมของแต่ละคน ซึ่งในบางกรณีอาจมีการตกแต่งไขมันหรือหนังตาส่วนเกินร่วมด้วย เพื่อให้ได้ชั้นตาที่ดูกลมกลืนเป็นธรรมชาติ
การทำตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหา
- ชั้นตาหลบใน
- ชั้นตาไม่เท่ากัน
- หนังตาตก ดูง่วง หรือดูมีอายุ
- ตาชั้นเดียว หรือไม่มีรอยพับตาชัดเจน
- ต้องการเสริมความมั่นใจและปรับลุคให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
ปัจจุบัน กรีดตาสองชั้น กลายเป็นทางเลือกยอดนิยม เนื่องจากสามารถแก้ปัญหาได้หลากหลายและให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน โดยเทคนิคที่เลือกใช้จะขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหาของดวงตาแต่ละคน ซึ่งต้องประเมินโดยศัลยแพทย์เฉพาะทาง
ทำไมการทำตา 2 ชั้นจึงได้รับความนิยม?
- ทำให้ใบหน้าดูสดใสและมีมิติ
- เหมาะกับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
- เพิ่มความคมชัดให้กับดวงตา
- ช่วยแก้ปัญหาหนังตาตก ตาชั้นเดียว หรือชั้นตาไม่เท่ากัน
- มีเทคนิคให้เลือกหลายแบบตามความต้องการและปัญหาเฉพาะบุคคล
เทคนิคทำตา 2 ชั้นแบบต่าง ๆ
ในปัจจุบัน การทำตา 2 ชั้นมีหลากหลายเทคนิค ซึ่งเหมาะกับปัญหาและลักษณะดวงตาแตกต่างกันไป ดังนี้
1. กรีดตาสองชั้น (Full Incision)
เป็นการผ่าตัดเปิดแผลยาวตามแนวชั้นตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันเปลือกตามาก หรือหนังตาหย่อนคล้อย โดยแพทย์จะตกแต่งเนื้อเยื่อและเย็บสร้างชั้นตาใหม่
ข้อดี
- เห็นชั้นตาชัดเจน
- ผลลัพธ์อยู่ได้นาน
- แก้ปัญหาได้ครอบคลุม
ข้อควรพิจารณา : อาจมีรอยแผลและอาการบวมช้ำมากกว่าวิธีอื่น ใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 7–10 วัน
2. กรีดตาแบบแผลเล็ก (Mini Incision)
เทคนิคนี้คล้ายกับแบบกรีดเต็ม แต่แผลจะสั้นลงประมาณ 1–2 เซนติเมตร เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเล็กน้อย เช่น ชั้นตาหลบใน หรืออยากเพิ่มความชัดเล็กน้อย โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่
ข้อดี
- แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว
- ชั้นตาดูเป็นธรรมชาติ
- เจ็บน้อยกว่าวิธีกรีดเต็ม
ข้อควรพิจารณา : อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีไขมันเปลือกตาเยอะหรือหนังตาตกมาก
3. เย็บชั้นตา (Non-Incisional / เย็บ 3 จุด)
เป็นเทคนิคที่ไม่ต้องผ่าตัด ใช้การเจาะรูเล็ก ๆ ที่เปลือกตาแล้วร้อยไหมเพื่อสร้างรอยพับ เหมาะกับผู้ที่มีตาชั้นเดียว หนังตาไม่ตก และไม่มีไขมันส่วนเกินมาก
ข้อดี:
- ไม่ต้องผ่าตัด
- บวมช้ำน้อย พักฟื้นไว
- เหมาะกับผู้ที่ยังไม่อยากทำศัลยกรรมแบบถาวร
ข้อควรพิจารณา : ชั้นตาอาจหลุดหรือเปลี่ยนไปตามเวลา ต้องระวังการขยี้ตาหรือแรงดึงบริเวณเปลือกตา
เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของแต่ละเทคนิคทำตา 2 ชั้น
เทคนิค | จุดเด่น | จุดด้อย |
---|---|---|
กรีดตาสองชั้น (Full Incision) |
|
|
กรีดแผลเล็ก (Mini Incision) |
|
|
เย็บชั้นตา (Non-Incisional) |
|
|
บทสรุป
การทำตา 2 ชั้น คือการศัลยกรรมเล็กที่มีผลต่อภาพลักษณ์โดยรวมอย่างชัดเจน แต่ละเทคนิคมีข้อดีและข้อจำกัดเฉพาะตัว ซึ่งการเลือกใช้วิธีใดไม่สามารถฟันธงได้จากภาพรวมเท่านั้น จำเป็นต้องประเมินจากสภาพตา ความคาดหวัง และคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การทำตาไม่ใช่แค่ “เพื่อให้สวยขึ้น” แต่คือการปรับบุคลิก เสริมความมั่นใจ และบางครั้งยังช่วยแก้ปัญหาทางการแพทย์ร่วมด้วย
ก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมตา อย่าลืม
- ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน
- เลือกสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ
- พูดคุยกับแพทย์อย่างเปิดใจ
“ เพราะความงามที่ปลอดภัยและตรงกับความต้องการของตัวเอง...คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในระยะยาว“

Author: Marketing Dr.Chen
