วิธีปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วน ชัดเจน และมีมิติมากขึ้น นอกจากการทำจมูกหรือตัดกรามแล้ว “ปลูกกระดูกคาง” ก็ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่สำคัญของการทำศัลยกรรมปรับโครงหน้าแบบถาวร โดยเฉพาะในกรณีที่คางสั้น คางถอย คางเบี้ยว หรือมีโครงสร้างคางผิดปกติตั้งแต่กำเนิด บทความนี้จะพาคุณมาทำความรู้จักกับการปลูกกระดูกคางในเชิงลึก ทั้งวิธีการ ขั้นตอน ข้อดี ข้อควรระวัง และความแตกต่างจากการเสริมคางทั่วไป พร้อมอธิบายว่าทำไมการปลูกกระดูกคางจึงเป็นส่วนหนึ่งของ “การปรับโครงหน้า”
ปลูกกระดูกคางคืออะไร
“ปลูกกระดูกคาง” (Chin Bone Grafting) คือการเติมหรือเสริมโครงสร้างกระดูกบริเวณคาง โดยใช้กระดูกจากร่างกายของคนไข้เอง เช่น กระดูกซี่โครง หรือใช้วัสดุกระดูกสังเคราะห์ทางการแพทย์ เช่น Medpor หรือ PEEK เพื่อให้กระดูกใหม่เชื่อมติดกับกระดูกคางเดิม ช่วยเสริมความยาว ความหนา หรือรูปร่างของคางให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสมกับใบหน้า แตกต่างจากการเสริมคางทั่วไป ที่ใช้แค่ซิลิโคน การปลูกกระดูกคางเป็นการแก้ไขที่ “ระดับโครงสร้าง” และให้ผลลัพธ์ที่มั่นคง ถาวร และปลอดภัยในระยะยาว
ทำไมการปลูกกระดูกคางจึงสำคัญในการศัลยกรรมปรับโครงหน้า
การปรับโครงหน้า (Facial Bone Contouring) ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนรูปร่างผิวเผิน แต่เป็นการปรับสมดุลกระดูกทั้ง 3 จุดสำคัญ ได้แก่
- ตัดกราม
- ยุบโหนกแก้ม
- เลื่อนคางหรือปลูกกระดูกคาง
 
															1. ตัดกราม (Jaw Reduction)
กรามที่กว้างและมุมกรามที่เด่นเกินไปจะทำให้ใบหน้าดูแข็งและดูไม่สมดุล การตัดกรามช่วยให้กรามดูเรียวลงและใบหน้าดูสมส่วนมากขึ้น โดยการผ่าตัดจะทำการตัดกระดูกกรามที่เด่นออกและปรับมุมกรามให้ดูเรียบและนุ่มนวล การตัดกรามเหมาะสำหรับ ผู้ที่มีกรามกว้างหรือมุมกรามเด่นเกินไป และต้องการทำให้ใบหน้าดูเรียวและดูอ่อนเยาว์มากขึ้น
2. ยุบโหนก (Cheek Reduction)
โหนกแก้มที่เด่นและใหญ่เกินไปจะทำให้ใบหน้าดูบวมและมีมิติที่ไม่สวยงาม การยุบโหนกแก้มจึงเป็นวิธีที่ช่วยให้โหนกแก้มดูเล็กลงและใบหน้าดูเรียวขึ้น การผ่าตัดยุบโหนกแก้มจะทำการตัดส่วนเกินของกระดูกโหนกแก้มออก โดยแพทย์จะเลือกทำในจุดที่ไม่กระทบกับความเป็นธรรมชาติของใบหน้า การยุบโหนกเหมาะกับผู้ที่มีโหนกแก้มใหญ่เกินไปและต้องการปรับให้หน้าเรียวขึ้นในลักษณะที่ธรรมชาติ
3. เลื่อนคาง (Chin Augmentation)
การเลื่อนคางหรือเสริมคางเป็นการผ่าตัดที่ทำให้คางยาวขึ้นและดูสมดุลกับใบหน้า การทำคางสั้นเกินไปอาจทำให้ใบหน้าดูไม่สมส่วนและไม่น่าสนใจ การเลื่อนคางจะทำให้ใบหน้ามีมิติและดูเรียวยาวมากขึ้น ในกรณีที่คางสั้นเกินไป แพทย์จะทำการผ่าตัดโดยการเสริมซิลิโคนหรือการเลื่อนกระดูกคางเพื่อให้คางยาวขึ้นและสอดคล้องกับลักษณะใบหน้าของผู้รับบริการ
ขั้นตอนของการปลูกกระดูกคางเป็นอย่างไร
 
															การปลูกกระดูกคางต้องดำเนินการโดยศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งกระดูกใบหน้าเท่านั้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและแม่นยำ โดยกระบวนการหลักมีดังนี้
1.การวิเคราะห์ใบหน้าด้วย CT Scan และ 3D Simulation
ก่อนผ่าตัดจะมีการถ่ายภาพ 3 มิติ และ CT Scan เพื่อประเมินรูปกระดูกคางเดิม ความหนา ความยาว และแนวกระดูก เพื่อวางแผนตำแหน่งที่จะทำการปลูกกระดูก
2.การเลือกวัสดุกระดูกที่เหมาะสม
- Autologous Bone : กระดูกของตัวเอง เช่น กระดูกซี่โครง
- Alloplastic Material : วัสดุเทียมเช่น Medpor หรือ PEEK ซึ่งมีความแข็งแรง น้ำหนักเบา และถูกออกแบบเฉพาะบุคคลด้วยเครื่อง CNC หรือ 3D Printing
3.ผ่าตัดเปิดแผลผ่านทางในปาก
ศัลยแพทย์จะเปิดแผลเล็ก ๆ ภายในปากใต้ริมฝีปากล่าง เพื่อไม่ให้เห็นรอยแผลจากภายนอก
4.การยึดกระดูก
นำกระดูกที่เตรียมไว้ยึดเข้ากับกระดูกคางเดิมด้วยสกรูทางการแพทย์ที่ปลอดภัย ป้องกันการเคลื่อนที่หรือเลื่อนหลุด
5.พักฟื้นและติดตามผล
โดยทั่วไปจะพักฟื้นในโรงพยาบาล 1-2 วัน และใช้เวลาพักฟื้นรวมประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาจมีอาการบวมและชาชั่วคราวซึ่งจะค่อย ๆ หายไป
ความแตกต่างระหว่างปลูกกระดูกคางกับเลื่อนคาง
แม้ว่าทั้งการปลูกกระดูกคางและเลื่อนคางจะอยู่ในกลุ่มการศัลยกรรมปรับโครงหน้า และมีเป้าหมายเดียวกันคือการปรับรูปคางให้สมดุลกับใบหน้า แต่ในความเป็นจริง ทั้งสองเทคนิคนี้มีรายละเอียดและกระบวนการที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งการเลือกวิธีที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับปัญหาเฉพาะของแต่ละบุคคล
ความแตกต่างหลักของการปลูกกระดูกกับเลื่อนคาง
จุดแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างสองเทคนิคนี้อยู่ที่ “จุดประสงค์” และ “ระดับการแก้ไข”
- หากคุณต้องการ “เพิ่มขนาดของคาง” เช่น คางดูเล็กเกินไปจากด้านข้าง หรือคางสั้นจนขาดความบาลานซ์กับหน้าผากและจมูก การปลูกกระดูกคางจะช่วยได้มากที่สุด เพราะสามารถเพิ่มมิติให้คางยาวขึ้น ดูเรียวขึ้น และช่วยสร้างกรอบหน้าอย่างชัดเจน
- หากคุณมีคางที่รูปร่างดีอยู่แล้ว แต่รู้สึกว่าคางถอยไปข้างหลังเกินไป หรือเบี้ยวไปด้านใดด้านหนึ่ง การเลื่อนคางจะเหมาะสมกว่า เพราะจะใช้กระดูกคางเดิมของคุณ ปรับไปอยู่ในตำแหน่งที่ดูสมดุลมากขึ้น
นอกจากนี้ การปลูกกระดูกคางยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับคางพร้อมกับศัลยกรรมโครงหน้าอื่น เช่น ยุบโหนก ตัดกราม เพราะสามารถออกแบบรูปร่างใหม่ทั้งหมดในแบบ 3D ได้ ขณะที่การเลื่อนคางจะเน้นการเคลื่อนกระดูกเดิมเพื่อให้ใบหน้ากลับสู่สมดุลที่ควรจะเป็น
ปลูกกระดูกคาง VS เลื่อนคาง เลือกวิธีไหนดี
ไม่มีคำตอบตายตัวว่าแบบไหนดีที่สุด เพราะขึ้นอยู่กับปัญหาและเป้าหมายของแต่ละคน หากคุณมีคางที่เล็กเกินไปหรือไม่สมดุลกับใบหน้าโดยรวม และอยากได้ผลลัพธ์แบบถาวร การปลูกกระดูกคางอาจตอบโจทย์มากกว่า แต่ถ้าคุณมีคางที่มีรูปร่างดีเพียงแต่ตำแหน่งยังไม่พอดี การเลื่อนคางจะช่วยแก้ปัญหาอย่างตรงจุด
ในบางกรณี ศัลยแพทย์อาจแนะนำให้ผสมผสานทั้งสองเทคนิค เช่น เลื่อนคางแล้วปลูกกระดูกเพิ่มในบางจุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและสวยที่สุด
ใครบ้างที่เหมาะกับการปลูกกระดูกคาง
- ผู้ที่มีปัญหาคางเล็กตั้งแต่กำเนิด
- ผู้ที่มีคางถอย คางสั้น หรือคางเบี้ยวผิดรูป
- ผู้ที่เคยเสริมคางด้วยซิลิโคนแล้วไม่ได้ผล หรือมีปัญหา
- ผู้ที่ต้องการปรับโครงหน้าทั้งใบหน้าให้ดูเรียวยาวขึ้น
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ถาวรโดยไม่ต้องเสริมซ้ำบ่อย ๆ
ใครบ้างที่เหมาะกับการปลูกกระดูกคาง
ปัจจุบันหลายโรงพยาบาลในประเทศไทยมีทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการปลูกกระดูกคางและศัลยกรรมปรับโครงหน้าโดยเฉพาะ เช่น โรงพยาบาลศัลยกรรมเฉพาะทาง ที่มีเทคโนโลยี 3D Scan, ระบบวางแผนแบบ Personal Simulation และใช้วัสดุปลูกกระดูกที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล
 
															เคล็ดลับคือ ควรเลือกสถานพยาบาลที่มีทีมแพทย์ศัลยกรรมใบหน้าโดยตรง ไม่ใช่แค่แพทย์ทั่วไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยอย่างปลอดภัยและเหมาะสมกับโครงสร้างเฉพาะของคุณ








 
				Author: DCH Hospital
Dr.Chen Writer

 
             
                                     
                                     
                                     
                                    