ปัจจุบันผู้คนให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์และภาพลักษณ์ที่ดี “การปรับรูปหน้า” กลายเป็นหนึ่งในเทรนด์ความงามที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งในหัตถการที่ช่วยเสริมสร้างความสมดุลให้กับใบหน้าได้อย่างน่าทึ่งคือ ศัลยกรรมเสริมคาง สำหรับผู้ที่กำลังมองหาข้อมูล หรือพิจารณาการ ทำคาง บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ศัลยกรรมเสริมคาง คืออะไร มีกี่ประเภท เหมาะกับใคร รวมถึงการเตรียมตัวและดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ
ศัลยกรรมเสริมคาง คืออะไร
ศัลยกรรมเสริมคาง (Chin Augmentation หรือ Genioplasty) คือหัตถการทางการแพทย์ที่มุ่งเน้นการปรับแต่งและเพิ่มขนาดหรือความยาวของคาง เพื่อให้ใบหน้าโดยรวมมีความสมดุลและสวยงามมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีคางสั้น คางถอย คางบุ๋ม หรือคางไม่สมส่วนกับโครงสร้างใบหน้าส่วนอื่น ๆ การมีคางที่ได้รูปจะช่วยสร้างมิติและทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น โดดเด่นขึ้น และมีสัดส่วน “ทองคำ” ตามหลักความงาม
ทำไมต้องเสริมคาง
- การตัดสินใจ เสริมคาง ไม่เพียงแต่เป็นการปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังส่งผลดีต่อความมั่นใจในตนเองของผู้เข้ารับการผ่าตัดอีกด้วย ประโยชน์หลักๆ ได้แก่
- ปรับสมดุลใบหน้า : คางที่ได้รูปจะช่วยให้ใบหน้าส่วนล่างดูรับกับหน้าผากและจมูก ทำให้โครงหน้าโดยรวมดูมีมิติและสมมาตรมากขึ้น
- แก้ไขปัญหาคางสั้นหรือคางถอย : ผู้ที่มีคางสั้นมากหรือคางถอยไปด้านหลัง ทำให้ใบหน้าดูขาดมิติ หรือคอดูสั้นลง การเสริมคางจะช่วยยืดความยาวและยื่นคางออกมา สร้างความสมดุล
- ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น : แม้จะเป็นการเสริมคาง แต่เมื่อคางยื่นออกมาได้รูป ใบหน้าส่วนล่างจะดูเรียวและมีเชฟมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมองจากด้านข้าง
- เพิ่มความมั่นใจ : การมีใบหน้าที่สวยงามและสมส่วนตามความพึงพอใจ ย่อมส่งผลให้ผู้ทำศัลยกรรมมีความมั่นใจในการใช้ชีวิตและการเข้าสังคมมากขึ้น
- แก้ไขคางบุ๋มหรือคางสองชั้นเทียม : ในบางกรณี การเสริมคางสามารถช่วยเติมเต็มบริเวณที่บุ๋ม หรือทำให้คางดูยื่นขึ้น ช่วยลดปัญหาคางสองชั้นเทียมที่เกิดจากคางสั้นได้
ประเภทของศัลยกรรมเสริมคาง
การ ทำคาง สามารถทำได้หลายวิธี โดยหลักๆ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1. การเสริมคางด้วยซิลิโคน (Chin Implant Augmentation)
เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยศัลยแพทย์จะทำการสอดวัสดุซิลิโคนทางการแพทย์เข้าไปบริเวณปลายคางเพื่อเพิ่มขนาดและรูปทรงให้คางดูยาวหรือยื่นออกมาตามที่ต้องการ ซิลิโคนที่ใช้มีหลายขนาดและรูปทรง เพื่อให้เหมาะสมกับโครงสร้างใบหน้าของแต่ละบุคคล วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มมิติให้คางอย่างเห็นได้ชัดและถาวร
- ข้อดี : ผลลัพธ์ชัดเจน ปรับรูปทรงได้หลากหลาย สามารถถอดเปลี่ยนได้หากไม่พอใจในอนาคต
- ข้อควรพิจารณา : มีการผ่าตัดและอาจมีแผลเป็น (แม้จะเล็กและซ่อนไว้)
2. การผ่าตัดเลื่อนกระดูกคาง (Sliding Genioplasty หรือ Osseous Genioplasty)
วิธีนี้ซับซ้อนกว่าการใช้ซิลิโคน โดยศัลยแพทย์จะทำการตัดกระดูกปลายคางส่วนหนึ่ง แล้วเลื่อนกระดูกชิ้นนั้นไปข้างหน้าหรือลงมาด้านล่างตามแผนที่วางไว้ จากนั้นจึงยึดด้วยสกรูหรือเพลทโลหะ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสั้นมาก คางถอยมาก หรือต้องการปรับโครงสร้างคางอย่างถาวรและเป็นธรรมชาติที่สุด เนื่องจากเป็นการปรับเปลี่ยนด้วยกระดูกจริงของตนเอง
- ข้อดี : ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติสูง ไม่ต้องกังวลเรื่องการแพ้วัสดุหรือการเคลื่อนที่ของซิลิโคน
- ข้อควรพิจารณา : เป็นการผ่าตัดใหญ่ ใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า และมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า
3. การฉีดฟิลเลอร์หรือไขมันตัวเอง (Filler/Fat Grafting)
สำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมผ่าตัด หรือต้องการปรับแต่งคางเพียงเล็กน้อย การฉีดสารเติมเต็มอย่างฟิลเลอร์ (Hyaluronic Acid) หรือไขมันตัวเอง ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยจะช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้คางดูเต็มขึ้นหรือยื่นออกมาเล็กน้อย
- ข้อดี : ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน เห็นผลเร็ว
- ข้อควรพิจารณา : ผลลัพธ์ไม่ถาวร ต้องฉีดซ้ำเป็นระยะ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาคางสั้นหรือถอยมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเตรียมตัวก่อนศัลยกรรมเสริมคาง
การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้การผ่าตัดราบรื่นและลดความเสี่ยงต่างๆ
- ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ : นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด แพทย์จะประเมินโครงสร้างใบหน้า อธิบายเทคนิคต่างๆ และช่วยเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุด
- แจ้งประวัติสุขภาพ : แจ้งโรคประจำตัว ยาที่รับประทานประจำ แพ้ยา แพ้อาหาร รวมถึงอาหารเสริมต่างๆ
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : ควรงดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
- งดยาและอาหารเสริมบางชนิด : เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน วิตามินอี น้ำมันปลา หรือสมุนไพรบางชนิด ที่อาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- ทำความสะอาดช่องปาก : หากผ่าตัดแผลในช่องปาก ควรงดรับประทานอาหารและน้ำตามคำแนะนำของแพทย์
การดูแลตัวเองหลังศัลยกรรมเสริมคาง
การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อผลลัพธ์และความปลอดภัย
- ประคบเย็น : ในช่วง 48-72 ชั่วโมงแรก เพื่อลดอาการบวมและฟกช้ำ
- นอนศีรษะสูง : ช่วยลดอาการบวม
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง : ยาแก้ปวดและยาปฏิชีวนะ
- อาหารอ่อน : ในช่วงแรก ควรรับประทานอาหารอ่อน หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดหรืออาหารที่ต้องเคี้ยวมาก
- รักษาความสะอาดในช่องปาก : หากผ่าตัดแผลในช่องปาก ควรบ้วนปากด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อตามคำแนะนำของแพทย์ และหลีกเลี่ยงการแปรงฟันที่กระทบกระเทือนแผลโดยตรง
- หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือน : ระมัดระวังไม่ให้คางถูกกระแทก
- งดกิจกรรมหนัก : หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก หรือกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก ประมาณ 4-6 สัปดาห์
- มาพบแพทย์ตามนัด : เพื่อติดตามผลและตัดไหม (ถ้ามี)
ศัลยกรรมเสริมคาง เป็นหัตถการที่สามารถเนรมิตความสมดุลและความงามให้กับใบหน้าได้อย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ซิลิโคน การเลื่อนกระดูกคาง หรือการฉีดฟิลเลอร์ ทุกวิธีล้วนมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน การตัดสินใจ ทำคาง จึงควรมาจากความเข้าใจอย่างถ่องแท้ การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการเลือกสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่สวยงาม เป็นธรรมชาติ และปลอดภัยที่สุด พร้อมใบหน้าที่สมบูรณ์แบบอย่างที่คุณต้องการ

Author: DCH Hospital
Dr.Chen Writer
