ทำตาสองชั้น ไม่ใช่แค่เรื่องความสวย
ก่อนที่เราจะไปถึงเรื่องการแก้ไข เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (Ptosis) คืออะไร และมันแตกต่างจากอาการหนังตาตกทั่วไปอย่างไร ภาวะนี้เกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยกเปลือกตาที่เรียกว่า Levator Muscle ซึ่งอาจอ่อนแอลงหรือทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้เปลือกตาตกลงมาบดบังตาดำบางส่วนหรือทั้งหมด ส่งผลให้ผู้ที่มีภาวะนี้ดูเหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลา ดวงตาดูไม่สดใส แม้จะนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้วก็ตาม
อาการของกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพในหลายๆ ด้าน เช่น
การมองเห็นไม่ชัดเจน
เปลือกตาที่ตกลงมาจะบดบังการมองเห็น ทำให้ต้องเงยหน้าหรือเลิกคิ้วเพื่อช่วยในการมอง ซึ่งอาจทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณหน้าผากตามมา
อาการปวดศีรษะและปวดคอ
การต้องเงยหน้าหรือเพ่งมองอยู่ตลอดเวลาจะทำให้กล้ามเนื้อคอและหน้าผากทำงานหนักผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยสะสม
ปัญหาบุคลิกภาพ
การที่ดวงตาดูปรืออยู่เสมออาจทำให้ดูไม่มั่นใจ บุคลิกภาพโดยรวมดูไม่กระฉับกระเฉง และอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนไม่สนใจสิ่งรอบข้างได้
กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีกี่ประเภท
ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามสาเหตุและอาการ ซึ่งแพทย์จะทำการวินิจฉัยเพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
กล้ามเนื้ออ่อนแรงแต่กำเนิด (Congenital Ptosis)
เป็นภาวะที่พบได้ตั้งแต่แรกเกิด เกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อตาตั้งแต่ในครรภ์ ซึ่งมักส่งผลต่อการมองเห็นของเด็ก
กล้ามเนื้ออ่อนแรงในผู้ใหญ่ (Acquired Ptosis)
เป็นภาวะที่เกิดขึ้นภายหลังและมีสาเหตุที่หลากหลาย เช่น
- กล้ามเนื้ออ่อนแรงจากการเสื่อมสภาพตามวัย : เกิดจากการหย่อนยานของกล้ามเนื้อตามอายุที่มากขึ้น
- กล้ามเนื้ออ่อนแรงจากโรคทางระบบประสาท : เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดร้าย (Myasthenia Gravis) ที่ส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย
- กล้ามเนื้ออ่อนแรงจากอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บ : เช่น การบาดเจ็บที่กระทบต่อกล้ามเนื้อตา
- กล้ามเนื้ออ่อนแรงจากโรคทางตาอื่นๆ : เช่น การใช้งานคอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน, หรือโรคตาอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ
กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีกี่ระดับ
โดยทั่วไปแล้ว การแบ่งระดับความรุนแรงของ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (Ptosis) จะพิจารณาจากตำแหน่งของขอบเปลือกตาบนเมื่อเทียบกับขอบตาดำ (Pupil) ซึ่งเป็นวิธีที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับหลัก ๆ ดังนี้
1. ระดับน้อย (Mild Ptosis)
ในระดับนี้ ขอบเปลือกตาบนจะปิดคลุมตาดำลงมาประมาณ 1-2 มิลลิเมตร อาการอาจไม่ชัดเจนมากนักจนบางครั้งคนรอบข้างอาจสังเกตเห็นได้ยาก แต่เจ้าตัวจะเริ่มรู้สึกว่าตาดูปรือ ๆ หรือดูง่วงนอนเล็กน้อย และอาจต้องเลิกคิ้วช่วยในการมองบ้างในบางครั้ง ระดับนี้มักไม่กระทบต่อการมองเห็นในชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน
2. ระดับกลาง (Moderate Ptosis)
ระดับนี้ถือว่าอาการเริ่มชัดเจนขึ้น ขอบเปลือกตาบนจะปิดคลุมตาดำลงมาประมาณ 3 มิลลิเมตร ผู้ที่มีอาการในระดับนี้จะเริ่มรู้สึกว่าการมองเห็นถูกจำกัดมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมองขึ้นข้างบน หรือต้องใช้กล้ามเนื้อหน้าผากในการช่วยลืมตาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาจทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณหน้าผากตามมาได้
3. ระดับรุนแรง (Severe Ptosis)
นี่คือระดับที่อาการรุนแรงที่สุด ขอบเปลือกตาบนจะปิดคลุมตาดำลงมามากกว่า 4 มิลลิเมตร หรืออาจปิดคลุมเกือบทั้งหมด ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างมาก บางครั้งอาจต้องเงยหน้าตลอดเวลาเพื่อมองเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก และหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจส่งผลต่อการพัฒนาการทางสายตาในเด็ก หรือทำให้เกิดอาการปวดหัวเรื้อรังในผู้ใหญ่ได้
ศัลยกรรมตาเพื่อการรักษา อาการกล้ามมเนื้อตาอ่อนแรง
สำหรับผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง การผ่าตัดศัลยกรรมตา ทั่วไปที่เน้นการสร้างชั้นตาอย่างเดียวอาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง แต่จำเป็นต้องใช้วิธีการผ่าตัดเฉพาะทางที่เรียกว่า การผ่าตัดแก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง หรือ Levator Muscle Resection ซึ่งเป็นการผ่าตัดที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความชำนาญสูงของแพทย์ โดยขั้นตอนการผ่าตัดจะเน้นไปที่การเข้าถึงกล้ามเนื้อตา Levator Muscle และทำการร่นหรือตัดแต่งกล้ามเนื้อส่วนที่อ่อนแรงให้สั้นลง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและประสิทธิภาพในการยกเปลือกตา ทำให้ดวงตาเปิดได้กว้างและกลมโตขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
นอกจากนี้ การทำความเข้าใจเทคนิคต่างๆ ของการทำตา ก็เป็นสิ่งจำเป็น เช่น
- การผ่าตัดแบบกรีดแผลสั้น : เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันเปลือกตาไม่มากและไม่มีปัญหาหนังตาหย่อนคล้อย
- การผ่าตัดแบบกรีดยาว : เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังตาและไขมันส่วนเกินที่ต้องการแก้ไขพร้อมกับการสร้างชั้นตา
- การผ่าตัดกล้ามเนื้อตา : เป็นเทคนิคเฉพาะที่ใช้สำหรับผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงโดยตรง
เพื่อให้การทำตาสองชั้น เพื่อแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรงเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การเตรียมตัวที่ดีทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ก่อนการผ่าตัด
- แจ้งประวัติสุขภาพอย่างละเอียด : คุณควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงโรคประจำตัว, การแพ้ยา, หรือยาและอาหารเสริมที่รับประทานอยู่เป็นประจำ
- งดการใช้ยาและอาหารเสริมบางชนิด : แพทย์จะแนะนำให้งดการใช้ยาบางชนิด เช่น แอสไพริน หรือวิตามินอีและน้ำมันปลาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือดประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด
- พักผ่อนให้เพียงพอ : การพักผ่อนอย่างเต็มที่ก่อนวันผ่าตัดจะช่วยให้ร่างกายพร้อมสำหรับการฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น
การเตรียมตัวให้พร้อม : ก่อนและหลังตัดสินใจ ทำตา
หลังการผ่าตัด
- การดูแลแผลผ่าตัด : ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดในการทำความสะอาดแผล และใช้ยาตามที่แพทย์สั่งเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- การประคบเย็น : ในช่วง 2-3 วันแรกหลังการผ่าตัด การประคบเย็นจะช่วยลดอาการบวมและรอยช้ำได้
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้สายตาหนัก : ควรงดการอ่านหนังสือหรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ในช่วงแรก เพื่อให้ดวงตาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
- การพักฟื้น : โดยทั่วไปอาการบวมจะเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัดในสัปดาห์แรก และจะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งชั้นตาเข้าที่อย่างถาวรใน 3-6 เดือน
ทำตาสองชั้น การเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าความสวย
การทำตาสองชั้น เพื่อแก้ไขภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง จึงเป็นการตัดสินใจที่มากกว่าแค่การเสริมความงาม แต่เป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง การที่ดวงตาเปิดได้เต็มที่ ทำให้การมองเห็นชัดเจนขึ้น ลดอาการปวดศีรษะจากการเพ่งมอง และคืนความมั่นใจให้กับคุณได้อย่างเต็มที่ ทำให้บุคลิกภาพดูสดใสและกระฉับกระเฉงมากยิ่งขึ้น

Author: DCH Hospital
Dr.Chen Writer
